[Fic Attack on Titan] Uncontrollable #6 (Eren x Levi)


Title: Uncontrollable
Chapter 6 : ความเชื่อมั่น
Author: Yaoyuay
Fandom: Attack on Titan
Pairing: Eren Yeager x Levi
Rating: PG-13
Warning: Yaoi
 
 
 
 
เสียงหวีดลมของอากาศที่ไหลผ่านข้างตัวอย่างรวดเร็วขณะที่ร่างกายร่วงลงไปตามแรงโน้มถ่วงโดยไม่มีสิ่งใดให้ยึดเกาะ เมื่ออุปกรณ์เคลื่อนที่สามมิติถูกถอดวางเอาไวใต้ต้นไม้หลังจากจัดการกับไททันที่บุกมาก่อนหน้านี้ลงจนหมด ตอนนี้การปล่อยให้ตัวเองร่วงลงเป็นแนวดิ่งตามแรงดึงดูดจึงเป็นสิ่งเดียวที่ทำได้ แม้จะเคยผ่านการเคลื่อนไหวผาดโผนในอากาศมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่นั่นก็เฉพาะตอนที่มีอุปกรณ์เคลื่อนที่สามมิติติดอยู่ข้างตัวเท่านั้น
 
 
ยามที่ไม่มีสิ่งใดอยู่กับตัวนอกจากแขนขาสองข้าง แม้จะอยากเอื้อมมือออกไปจับยึด ก็คว้าได้เพียงแค่อากาศ คล้ายกับหัวใจถูกเหนี่ยวหล่นลงด้วยแรงดึงจากก้นเหว จนเหมือนหยุดการเต้นของหัวใจไปพร้อมกับที่ร่างของอีกคนหนึ่งร่วงหล่นตามลงมาโดยไม่มีทีท่าจะป้องกันตัวเอง
 
 
ไม่จำเป็นต้องส่งหลังมือเข้าหาริมฝีปาก และกดฟันกัดลงไปให้เป็นแผล ความรู้สึกอยากปกป้องคนที่ทิ้งชีวิตตัวเอง ปล่อยตัวลงมาจากหน้าผาพร้อมกับเขา เพียงแค่ความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้นก็เพียงพอ
 
….เขาจะไม่ยอมปล่อยให้หัวหน้าตาย….
 
 
 
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างกระทันหันจนเกิดเป็นแสงสว่างวาบ คล้ายกับเกิดการถ่ายเทของประจุไฟฟ้าในอากาศรอบกายพร้อมกับแรงอัดอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เมื่อร่างของเด็กหนุ่มได้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นร่างของสิ่งมีชีวิตอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งที่มีร่างกายสูงใหญ่กว่าสิบห้าเมตร
 
 
แม้ขนาดร่างกายของเอเลนจะเปลี่ยนไป แต่ยังคงสามารถบังคับร่างกายที่ขยายใหญ่โตให้เคลื่อนไหวได้ตามใจ ชกหมัดขวากระแทกเข้ากับผาหินขณะที่ร่างกายยังคงร่วงดิ่งลงด้วยความเร็ว ฝังหมัดจมลึกลงไปในชั้นหิน หยุดการเคลื่อนที่ลงในแนวดิ่งด้วยแขนข้างนั้นที่ยึดร่างใหญ่โตไว้กับผาหินแคบ ขาสองข้างก็ปีนป่ายโดยอัตโนมัติเมื่อเริ่มทรงตัวได้
 
 
เงยหน้าขึ้นมองเห็นร่างของหัวหน้าตัวเล็กยังคงร่วงผ่านอากาศที่ว่างเปล่าลงมา กระชากหมัดขวาออกจากชั้นหินเปีนป่ายชึ้นไปตามแนวหน้าผา พยายามเข้าไปใกล้มากที่สุด ไม่อยากให้ร่างนั้นต้องรับแรงกระแทกตอนที่หล่นลงมาบนฝ่ามือ
 
 
แผ่วเบาดุจขนนกยามเมื่อกระทบฝ่ามือ ประคองร่างที่ร่วงลงสู่ฝ่ามือใหญ่อย่างระมัดระวังให้เกิดแรงกระแทกน้อยที่สุด ร่างเล็กในชุดเครื่องแบบนั้นนิ่วหน้าทั้งรอยยิ้มที่มุมปาก ต้องให้ใช้ไม้แข็งทุกที ถ้าไม่หวิดตายก็คงดึงพลังออกมาไม่ได้
 
 
ร่างกายที่ใหญ่โตไม่เป็นอุปสรรค์ในการปีนป่ายแม้แต่น้อย กลับคล่องแคล่วมากกว่ายามเมื่อยันร่างไต่ผ่านหน้าผาที่สูงชัน ประคองร่างเล็กที่ยอมอยู่เฉยในฝ่ามือพาขึ้นมาจนพ้นขอบเหว คุกเข่าลงพร้อมวางมือลงบนพื้นดินแตกระแหงปล่อยให้คนที่อยู่บนฝ่ามือได้กลับสู่พื้น สองเท้าก้าวเหยียบลงบนพื้นดินอย่างมั่นคง
 
 
…หัวหน้าปลอดภัยแล้ว…
 
 
 
 
 

ไม่ทันที่จะได้ก้าวถอยหลังออกมา ร่างไททันที่สูงกว่าสิบห้าเมตรก็เริ่มกลายเป็นไอความร้อนระอุจนทำให้อุณหภูมิโดยรอบสูงขึ้น เหมือนกับทุกครั้งที่สิ่งมีชีวิตร่างยักษประเภทนี้สลายร่างกายยามเมื่อโดนโจมตีที่จุดตาย หรือเวลาที่ร่างมนุษย์หลุดออกมาจากภายในของร่างกายที่เคยเชื่อมต่อกันไว้
 
 
โดยที่ยังไม่ได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับร่างไททันที่กำลังสลายเป็นไอความร้อนอยู่นี้ หรือแม้แต่จะนึกไปถึงความปลอดภัยของร่างมนุษย์ที่เคยอยู่ด้านใน แทบจะทันทีที่เพียงแค่นึกไปถึงชื่อพยางค์แรกทั้งที่ไม่ทันจะได้เปล่งเป็นคำพูดออกมาด้วยซ้ำ ก็โดนโถมเข้าใส่ด้วยแรงที่มากพอจะทำให้เขาล้มเอนลงไป โดยมีอีกร่างหนึ่งประคองไว้ด้วยอ้อมกอดที่คล้ายกับถลาเข้ามารวบตัวไว้ กอดแน่นด้วยสองแขนที่ไขว้กันจนขยับหนีไม่ได้
 
 
เด็กเหลือขอที่เกือบทำให้เขาตายไปพร้อมกับมันกำลังกอดเขาแน่นมากอย่างไม่มีท่าจะยอมปล่อย สองแขนนั้นรัดแน่นขึ้นรั้งตัวเขาให้แนบกับแผ่นอกผอมๆ มากเข้าไปอีก เลยจำต้องยอมซุกหน้าเข้ากับไหล่ของคนที่เป็นฝ่ายเข้ามากอด และยอมอยู่นิ่งให้อีกฝ่ายกอดเอาไว้อยู่แบบนั้น
 
 
แนบชิดจนคล้ายกับจังหวะการหายใจสอดประสานกัน แม้จะรู้สึกอึดอัดแต่ก็ไม่ได้รังเกียจ ยอมให้คนถือดีโอบกอดโดยไม่คิดจะผลักออก ปล่อยให้ความรู้สึกของอีกฝ่ายส่งผ่านมาพร้อมอ้อมกอดที่โถมเข้าใส่อย่างไม่ทันตั้งตัวโดยที่ไม่มีคำพูดใดๆ เอ่ยออกมา
 
 
…เพียงแค่อ้อมกอด
 
ก็รับรู้ได้ถึง บางอย่าง…
 
 
 
นานจนรู้สึกว่าร่างที่สั่นเทิ้มก่อนหน้านี้เริ่มนิ่ง แต่กลับกลายเป็นไหล่ที่ไหวกระตุกคล้ายกำลังสะอื้น ขณะที่พยายามหายใจเข้าเพื่อเปล่งคำพูดอย่างยากเย็น แต่ก็พอจะจับใจความของเสียงอู้อี้ขึ้นจมูกตอนร้องไห้ได้
 
“ผม..นึก..ว่าหัวหน้าจะตาย..แล้ว”
 
พูดทั้งที่ยังคงไม่คลายอ้อมกอดออก กลับกระชับตัวเขาเข้าไปกอดแน่นกว่าเดิมเสียอีก เสียงสะอื้นถี่ๆ นั้นบอกว่าหมอนี่กำลังร้องไห้อย่างหนัก ได้แต่หวังว่ามันคงไม่ทำน้ำมูกยืดติดหลังเขา
 
 
“ชั้นจะตายได้ยังไง”
 
เปล่งคำพูดออกมาได้ไม่ถนัดนัก เมื่อยังคงโดนกอดเอาไว้แน่นให้ใบหน้าซุกอยู่กับไหล่แบบนี้ แม้จะนานจนรู้สึกว่าเอเลนควรจะปล่อยเขาได้แล้ว แต่ถ้าหากว่าการที่อยู่แบบนี้จะทำให้มันหยุดร้องไห้ได้เสียที เขาก็จะยอมให้กอดต่อไปอีกหน่อย
 
 
“ก็หัวหน้า..กระโดด…ตามผม..ลงมา”
 
เด็กเหลือขอที่ตอนนี้กลายเป็นเด็กขี้แยพยายามเปล่งคำพูดทั้งสะอื้น ไม่รู้ว่าที่มันกำลังร้องไห้อยู่นี้เพราะกลัวที่โดนผลักลงเหวหรืออะไร
 
 
“ถ้าต้องตายจริงๆ ชั้นไม่กระโดดลงไปหรอก”
 
 
“แล้วถ้าผม..แปลงร่างไม่ได้..ขึ้นมา หัวหน้าไม่ต้อง..ตาย..จริงๆ เหรอครับ..”
 
 
รีไวตัดสินใจเป็นฝ่ายผละออกช้าๆ จากอ้อมกอดนั้นเอง เพราะอยากมองดูหน้าของเด็กขี้แยตรงหน้าให้ชัด ดวงตาสีเขียวนั้นเปียกไปด้วยน้ำตาที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหลง่ายๆ และจมูกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะการสูดหายใจมากไป
 
“หน้าแกตอนนี้ดูไม่ได้เลย”
 
พูดออกมาเมื่อเห็นสภาพของใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตา จนอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปใช้ฝ่ามือเช็ดน้ำตาที่เปียกอยู่ให้อย่างไม่ตั้งใจนัก เผลอออกแรงมากเกินไปจนคล้ายกับผลักหน้าหมอนี่อยู่นิดๆ
 
“เพราะชั้นมั่นใจว่าแกจะแปลงร่างได้ ถึงได้กระโดดตามลงไป”
 
 
ซักพักเด็กที่ร้องไห้ฟูมฟายตรงหน้าถึงได้นิ่ง เขาจึงปล่อยมือที่เผลอจับแก้มค้างไว้อยู่ตอนที่เช็ดน้ำตาออกปล่อยให้เอเลนปรับการหายใจจนเป็นปกติ แต่ถึงอย่างนั้นขอบตา และปลายจมูกก็ยังคงเป็นสีแดงจากการร้องไห้อย่างหนัก ทั้งที่ยังไม่รู้ว่ามันร้องไห้ขนาดนี้เพราะอะไร
 
“ทุกคน.. ทั้งคนที่ปล่อยให้แกมีชีวิตรอด ทั้งคนที่เสียสละชีวิตเพื่อแก เพื่อนคนสำคัญของแก หรือคนที่ให้โอกาสในการฝึกกับแก พวกเขาเชื่อมั่นในตัวแก”
 
รีไวยันตัวลุกขึ้นยืนขณะที่ยังปล่อยให้อีกคนนั่งฟังในสิ่งที่เขาจะพูดต่อ
 
“แกก็ควรจะเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะชั้นก็เชื่อมั่นในตัวแกเหมือนกัน”
 
 
เดินนำหน้ามากลับเข้าสู่เขตป่าที่มีดงไม้หนาทึบ เดินผ่านทางที่รก และลาดชันอีกครั้ง เพียงไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าก้าวยาวๆ แทรกผ่านพงหญ้าเกิดเป็นเสียงตอนที่ใบไม้เสียดสีกันอย่างรวดเร็ว ขณะที่ร่างนั้นวิ่งผ่านดงไม้หนามตามมาอย่างไม่สนใจหนามแหลมที่คอยขีดข่วนหน้าให้เป็นรอย
 
 
“หัวหน้าครับ—-“
 
 
ตะโกนเรียกอย่างกับกลัวเขาจะเดินหนีไป เด็กยังไงมันก็เป็นเด็กวันยังค่ำ แค่วิ่งตามมาให้ทันไม่เห็นต้องตะโกนเรียกซะเสียงดัง ทั้งที่เพียงไม่นานมันก็วิ่งตามทันจนมาเดินหอบอยู่ข้างๆ แล้ว ไม่รู้ว่าเพราะทางเดินแคบถูกบดบังด้วยดงไม้ที่เขาทั้งสองคนกำลังเดินผ่าน หรือเพราะเด็กเหลือขอมันไม่ยอมเดินตามหลัง กลับมาเดินอยู่ข้างๆ จนรู้สึกเหมือนมันจะอยู่ใกล้เขามากกว่าทุกที
 
“เราจะกลับเข้าไปฝึกข้างในป่าอีก คิดว่าแปลงร่างได้มั้ย”
 
 
“ได้ครับ!!”
 
 
 
 
 
 
คล้ายกับหัวใจในอกข้างซ้ายพองโตจนยากจะควบคุมความตื่นเต้นดีใจเอาไว้ได้ จังหวะการเต้นของหัวใจข้างในอกรัวคล้ายกับมีพลังบางอย่างปลุกความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคยให้เกิดขึ้น เหมือนจะคล้ายแต่ก็แตกต่างกับความเลือดร้อนมุ่งมั่นที่ก่อนหน้านี้เคยถูกใช้ไปอย่างไม่บันยะบันยัง กลับเป็นความรู้สึกที่สงบกว่านั้น
 
 
แรงผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้าตอนนี้ไม่ใช่ความมุทะลุใจร้อนเหมือนก่อน ไม่ใช่ความกลัวที่เย็บเฉียบจนทำให้สั่นสะท้าน ไม่ใช่ความรู้สึกผิดที่เคยสุมรวมแน่นอยู่ในอก แต่คือความมั่นใจ และเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อมั่นในสิ่งที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ทำได้
 
 
เพียงแค่คำพูดเพียงไม่กี่คำจากคนที่ทั้งเคารพ และนับถือ คล้ายกับได้ลบล้างความรู้สึกหวาดกลัวและลังเลออกไป ทั้งตอนเข้ามาอยู่ในหน่วยสำรวจก่อนหน้านี้ ความผิดหวัง หรือความสูญเสียที่เคยเกิดขึ้น หรือแม้แต่การฝึกนี้ก็ไม่คืบหน้าอย่างที่ตัวเขาเองก็แอบหวังจะให้เป็น แต่ถึงอย่างนั้นคนที่เคยเอ่ยปากว่าจะต่อให้ต้องฆ่าเขาก็ทำได้ กลับเป็นคนที่บอกว่าเชื่อมั่นในตัวเขา
 
…คำพูด ที่มอบพลังมหาศาลให้กับเขา…
 
 
สวมอุปกรณ์เคลื่อนที่สามมิติที่ถอดวางไว้ก่อนหน้านี้เข้ากระชับแน่นกับตัวอีกครั้ง พร้อมกับพุ่งทะยานไปในอากาศ เคลื่อนที่ผ่านแนวต้นไม้ที่ช่วยดึงประสิทธิภาพของอุปกรณ์ชนิดนี้ออกมาได้เป็นอย่างดี แรงขับเคลื่อนของแก๊สส่งให้ร่างพุ่งไปตามแนวลดสลิงที่ยิงนำทางออกไปก่อนหน้า ตามร่างของหัวหน้ารีไวที่พุ่งนำหน้าไปด้วยความเร็วที่ยากจะตามทัน
 
 
ฝูงไททันปรากฎตัวอีกครั้งเมื่อพวกมันได้กลิ่นของเนื้อมนุษย์ รสชาติของเลือดมนุษย์ตอนพุ่งเข้าปากพร้อมกับได้กัดฉีกร่างกายนั้นคงหอมหวานจนทำให้พวกมันบ้าคลั่งเสพย์ติดการกัดกินมนุษย์ และกลืนลงท้อง คำประกาศกร้าวที่เหมือนดั่งคำสาบานตั้งก้องในความคิดทุกครั้งที่ได้เห็นพวกมัน
 
…จะกำจัดไททันให้หมด ไม่ให้เหลือแม้แต่ตัวเดียว…
 
 
หลังมือถูกส่งเข้าปากพร้อมกดฟันคมๆ ฉีกเนื้อให้เป็นแผล รสชาติของเลือด และความเจ็บปวดกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกายพร้อมกับเป้าหมายที่ชัดเจนในใจ การแปลงร่างเกิดขึ้นกลางอากาศแม้ขณะที่กำลังเคลื่อนที่ผ่านต้นไม้สูง เกิดเป็นแสงสว่างวาบขณะที่ร่างกายเปลี่ยนสภาพอย่างรวดเร็ว มองเห็นหัวหน้ารีไวชะลอความเร็วลงขณะที่หันมามอง รอยยิ้มมุมปากปรากฎขึ้นทั้งที่ยังนิ่วหน้าอยู่อีกครั้ง ถ้าไม่คิดเข้าข้างตัวเองเกินไป เขาคงสามารถทำให้หัวหน้าภูมิใจได้บ้างแล้ว
 
 
ร่างกายเปลี่ยนขนาดเป็นร่างสูงใหญ่กว่าสิบห้าเมตร อุปกรณ์การเคลื่อนที่สามมิติไม่จำเป็นอีกต่อไปเมื่อร่างกายนี้สามารถเคลื่อนไหวได้ตามที่ใจต้องการ วิ่งก้าวยาวๆ ผ่านหน้าของหัวหน้ารีไวที่ห้อยตัวติดกับต้นไม้เพื่อหลีกทางให้เขามุ่งหน้าไปก่อน ตำแหน่งของการต่อสู้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ครั้งนี้ขอให้เป็นเขาที่ได้เปิดฉากก่อนโดยมีหัวหน้ารีไวคอยสนับสนุน
 
 
ขายาวๆ เตะกวาดพวกไททันที่สูงเพียงไม่ถึงสามเมตรล้มใส่กันไปกองอยู่ที่ฝั่งหนึ่ง ก่อนจะก้าวไปหาเพียงไม่กี่ก้าวก็เข้าถึงตัว กระทืบเท้าลงบนลำคอบดขยี้จุดตายตรงท้ายทอยพร้อมกับศีรษะที่มีใบหน้าอัปลักษณ์ของพวกมันหลุดกระเด็นไปคนละทิศทาง ออกแรงเพียงนิดเดียวก็สามารถจัดการกับไททันพวกนี้ได้จำนวนมาก
 
 
ก้าวข้ามร่างที่เริ่มระเหยเป็นไอความร้อนยามที่ร่างนั้นสิ้นชีวิต กลับไปสมทบกับหัวหน้ารีไวที่เริ่มเปิดฉากการต่อสู้กับพวกไททันตัวอื่นๆ ที่เริ่มบุกเข้ามามากขึ้น เพราะผ่านการใช้อุปกรณ์การเคลื่อนที่สามมิติมาจนชำนาญ จึงเข้าใจทิศการของการเคลื่อนไหวนี้เป็นอย่างนี้ หลายครั้งที่ไม่จำเป็นต้องให้หัวหน้ายิงฉมวกไปปักที่ต้นไม้ การใช้ลำตัว หรือยื่นแขนออกไปให้ลวดสลิงนั้นพุ่งมาปักจึงเป็นทางเลือกที่ช่วยให้การเคลื่อนไหวเกิดการโจมตีที่มีประสิทธิภาพกว่า
 
 
ไททันเอเลนพุ่งเข้าใส่ไททันสูงเจ็ดเมตรที่กำลังจะเข้าโจมตีรีไวทีเผลอ สองแขนดันร่างที่เล็กกว่าเข้าอัดกระแทกกับต้นไม้ก่อนที่หัวหน้ารีไวจะตามมาสมทบ ปลายฉมวกถูกยิงมาปักบนหัวไหล่ก่อนที่ร่างนั้นจะพุ่งตามแนวลวดมายืนอยู่บนไหล่ข้างนั้น กระชากร่างของไททันตัวนั้นออกมา กดศีรษะให้หลังคอเปิดโล่ง ขณะที่หยุดการเคลื่อนไหวของมันเอาไว้ หัวหน้ารีไวก็พุ่งตัวลงมาเฉือนเนื้อตรงท้ายทอยออกอย่างง่ายดาย
 
 
เป็นการต่อสู้ที่สอดประสานกันอย่างลงตัว ด้วยร่างกายที่ได้เปรียบนี้สามารถกำจัดไททันที่เหมือนกับมีอยู่นับไม่ถ้วนที่ด้านนอกกำแพงได้อย่างง่าย แม้พวกมันจะพุ่งเข้ามาโจมตี และฉีกกัดผิวหนังบนร่างกายของเขาก็สามารถปัดพวกมันออกไปได้
 
 
แม้หลายครั้งจะต่อยพวกมันแรงจนผิวหนังหลุดลอกออกไป กระทั่งโดนโจมตีจนข้อมือ หรือแขนขาด แต่เพียงครู่เดียวร่างกายก็ฟื้นฟูให้ร่างกายกลับมาใหม่เหมือนเดิม จุดตายตรงท้ายทอยของพวกมัน เพียงแค่กัดขย้ำเข้าที่หลังคอหรือกดพวกมันลงกับพื้นแล้วกระทืบซ้ำลงไปที่ท้ายทอย ก็สามารถจบชีวิตพวกมันลงได้อย่างง่ายดาย
 
 
ทั้งเลือดเหนียวที่กระเด็นเปรอะร่างให้สกปรก และอุณหภูมิความร้อนที่พุ่งสูงยามเมื่อร่างไททันพวกนั้นกำลังระเหยเป็นควันไปในอากาศ รอบตัวระอุไปด้วยบรรยากาศของการฆ่าฟัน พวกสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจ พวกมันเข่นฆ่ามนุษย์เหมือนของเล่น ทั้งยังแสยะยิ้มให้กับความตายที่พวกมันสร้างขึ้นอย่างไม่แยแส แต่ในตอนนี้พวกมันกลับอ่อนแอเหลือเกิน อ่อนแอขนาดที่ถูกฆ่าอย่างง่ายดาย
 
…ฆ่า…ฆ่าให้หมด…ไม่ให้เหลือแม้แต่ตัวเดียว…
 
 
 
 
 
เสียงร้องคำรามดังก้องของไททันเอเลนพร้อมกับที่ร่างนั้นแสดงอาการแปลกประหลาดออกมา ดวงตาสีเขียวเป็นแสงเรืองประกายแปลกไป อ้าปากร้องคำรามอยู่ซ้ำๆ ขณะที่สองมือกำหมัดแน่นเหยียบย่ำบนร่างของไททันที่กำลังสลายเป็นไอ ซึมซับความตายที่ตัวเองเป็นคนเข่นฆ่าอยู่พักหนึ่งก่อนร่างนั้นจะวิ่งพรวดกระโจนออกไปด้วยความเร็ว
 
 
“เอเลนนน—-!!”
 
ตะโกนเรียกชื่อหวังจะให้ร่างนั้นหยุดฟัง แต่เหมือนเสียงเรียกของเขาจะส่งไปไม่ถึงร่างของสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่วิ่งนำหน้าเขาอยู่ ยิงลวดสลิงออกไปปักลำต้นไม้ พุ่งตัวไปด้วยความเร็วหวังจะตามร่างที่วิ่งอยู่ข้างหน้าให้ทัน ได้แต่หวังว่าความผิดปกตินี่จะไม่ใช่จุดเริ่มต้นของการอาละวาด
 
 
ปลายฉมวกแหลมปักที่แผ่นหลังของร่างยักษ์ไททันที่ด้านในคือเด็กในความควบคุมของเขา พุ่งร่างไปประชิดห้อยตัวอยู่บริเวณแผ่นหลัง ตะโกนเรียกชื่อซ้ำๆ หวังจะให้เด็กเหลือขอที่อยู่ด้านในได้ยิน และเรียกสติของตัวเองกลับคืนมา แต่ไม่ว่าจะตะโกนกี่ครั้งก็ไม่เป็นผล ร่างที่ยังวิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งนี้ไม่ฟังเสียงของเขาอีกแล้ว ทางเดียวที่จะหยุดได้คือดึงร่างเอเลนที่อยู่ด้านในออกมาก่อนที่ร่างนี้จะอาละวาด
 
 
ดีดตัวออกจากร่างของไททันเอเลนอีกครั้งด้วยแรงส่งของแก๊สที่ด้านหลัง ไปตั้งหลักบนกิ่งไม้ใกล้ๆ ก่อนจะพุ่งตัวออกไปตามแนวของลวดสลิงอีกครั้ง เคลื่อนที่เบี่ยงออกไปด้านข้างกะจังหวะที่มีเพียงครั้งเดียวที่ได้เฉือนเนื้อตรงหลังคอออกโดยไม่เป็นอันตรายกับคนที่อยู่ข้างใน
 
 
ยิงปลายฉมวกแหลมออกไปปักที่ท้ายทอยของร่างที่วิ่งผ่านหน้า พร้อมกับพุ่งร่างตามแนวลวดไป ร่างนั้นไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของเขาแม้แต่น้อย เป้าหมายเดียวของร่างไททันที่เอาแต่วิ่งไปอย่างไม่มีจุดหมายคงเป็นการกำจัดไททันในป่านี้ การฝึกดำเนินมาถึงขั้นที่สองแล้ว การฝึกให้เอเลนควบคุมตัวเองให้ได้โดยไม่ขาดสติไปกับรสชาติของการฆ่าฟัน
 
 
เงื้อใบมีดขึ้นสุดแขน ฟาดฟันลงมาเฉือนผิวหนังตรงท้ายทอยให้เปิดออก เป็นการกระทำที่เสี่ยงชีวิตจะโดนฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นมาตะปบให้เขาตายอยู่ตรงท้ายทอยนี้ แต่ก็เป็นทางเดียวที่จะสามารถดึงตัวเอเลนออกมาได้ มองเห็นแล้วร่างกายที่เชื่อมต่ออยู่กับร่างของไททันภายในท้ายทอยนี้ ใบหน้าที่เอียงข้างนั้น กำลังแสยะยิ้มอย่างสยดสยอง ดวงตาเลื่อนลอยคล้ายกำลังเรียกหาการเข่นฆ่า
 
 
เพียงวินาทีเดียวของการตัดสินใจกระชากร่างนั้นออกมา ส่วนที่เชื่อมต่อร่างกายของเอเลนเอาไว้กับร่างไททันเหมือนจะยึดติดแน่นกว่าที่เคย ทำให้เขาต้องเสียเวลาตัดส่วนที่เชื่อมต่อกันนั้นอยู่นาน กว่าที่จะดึงร่างของเอเลนออกมาได้ทั้งหมด โดยที่ไม่ต้องตัดร่างกายส่วนใดออกไปเพื่อพาร่างส่วนใหญ่ออกมา
 
 
ร่างไททันเอเลนล้มลงพร้อมกับที่เขาพาร่างกึ่งไม่ได้สติของเอเลนลงถึงพื้น ดวงตาของเด็กที่ปล่อยให้ความแค้นครบงำจนขาดสติยังคงเลื่อนลอยพร้อมแสยะยิ้มด้วยสีหน้าประหลาด พึมพำออกมาเป็นโยคซ้ำๆ ทั้งที่ยังไม่ได้สติ
 
"ฆ่า…ฆ่าอีก….ฆ่าไม่ให้เหลือแม้แต่ตัวเดียว"
 
 
"เอเลน!!!"
 
ตะโกนเรียกชื่อซ้ำอีกครั้งเป็นผลให้คนตรงหน้ารู้สึกตัวเหมือนได้สติกลับคืนมา ร่างที่เขากุมไหล่เอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาสีเขียวเบิกโพลงอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะกลับเป็นปกติ
 
 
"เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ"
 
 
ไม่แปลกที่หมอนี่จะจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ได้ ถ้าเรียกว่าอาละวาดก็ยังพูดได้ไม่เต็มปาก คล้ายกับขาดสติไประหว่างที่ต่อสู้กับพวกไททัน การเข่นฆ่าพวกไททันที่เคยพรากชีวิตของคนที่รักเป็นตัวจุดชนวนความแค้นในอดีตที่อาจทำให้ขาดสติจนอาละวาดได้
 
 
"แกจัดการกับพวกไททันจนหมดสติไป"
 
เลี่ยงที่จะพูดความจริง เลือกที่จะโกหกเพื่อไม่ให้เอเลนเก็บไปคิดมากระหว่างที่เขายังไม่สามารถสรุปสาเหตุของการขาดสติในครั้งนี้ การประชุมย่อยของผู้เกี่ยวข้องต้องเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด เอเลนสามารถควบคุมการแปลงร่างได้ดีขึ้นแล้ว แต่สิ่งทีน่ากลัวกำลังจะตามมาเมื่อสามารถแปลงร่างได้บ่อยตามที่ต้องการคือโอกาสเสี่ยงของการคลุ้มคลั่งจนอาละวาด
 
"วันนี้ทำได้ดีมาก พรุ่งนี้ค่อยมาฝึกกันต่อ แปลงร่างให้ได้เหมือนวันนี้หล่ะ"
 
 
 
 
 
 
ดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำขณะที่เขาพาม้าทั้งสองตัวกลับเข้าคอก หัวหน้ารีไวยังยืนรออยู่ที่ด้านนอกควบคุมให้เขาทำหน้าที่ในการดูแลม้าให้เรียบร้อย เป็นหน้าที่เพียงอย่างเดียวที่เขายังไม่เคยทำบกพร่อง ถ้าไม่นับว่าเขาคือทหารของหน่วยสำรวจที่ต้องต่อสู้เพื่อความหวังของมนุษยชาติ คนดูแลม้าอาจเป็นอาชีพที่เหมาะสม
 
 
เดินตามหลังหัวหน้ารีไวกลับเข้าไปยังที่พัก เป็นเวลาของอาหารเย็นพอดีตอนที่เดินผ่านห้องอาหารด้านล่าง นายทหารบางส่วนเริ่มลงมาทานมื้อเย็นกันบ้างแล้ว ท้องของเขาก็เริ่มส่งเสียงประท้วงให้ได้ยินแล้วเหมือนกัน เป็นอีกหนึ่งวันที่ใช้พลังงานไปกับการแปลงร่างเป็นไททันถึงสองรอบ การทานอาหารเพื่อชดเชยพลังงานที่เสียไปจึงเป็นสิ่งจำเป็น
 
 
"เอ่อ…หัวหน้าจะกินข้าวเลยมั้ยครับ"
 
 
"แกกินไปก่อน ชั้นมีธุระต้องคุยกับเออร์วิน"
 
 
คอตกเล็กน้อยเมื่อโดนปฏิเสธดับหวังว่าจะได้กินข้าวเย็นพร้อมกับหัวหน้ารีไว แยกตัวเดินเลี้ยวไปทางห้องอาหาร ขณะคนที่เขาอยากจะนั่งกินข้าวด้วยกลับเดินขึ้นไปบนชั้นสอง โดยมีเป้าหมายคือห้องของหัวหน้าหน่วยเออร์วิน
 
…หัวหน้าหน่วยเออร์วิน…
 
 
คล้ายกับบางอย่างดลใจให้เขาเปลี่ยนทิศทางของการก้าวเดิน หมุนตัวหันหลังกลับวิ่งออกจากห้องอาหารอย่างรวดเร็ว ท้องที่เคยร้องประท้วงเงียบลงโดยอัตโนมัติ ความอยากอาหารหายไปในทันที สองเท้าก้าวยาวๆ ข้ามขั้นบันไดอย่างรีบร้อน เพื่อจะวิ่งไปให้ทัน
 
 
“หัวหน้าครับ!”
 
ตะโกนเรียกเสียงดังขณะที่วิ่งตามมา หวังจะให้ร่างนั้นหยุดเดินและหันมาตามเสียงเรียก ขอให้ทันก่อนที่หัวหน้ารีไวจะเคาะประตูห้องของหัวหน้าหน่วยเออร์วิน
 
 
“มีอะไร”
 
 
โชคช่วย หัวหน้ารีไวหันมาก่อนจะเดินไปถึงห้องหัวหน้าหน่วยเออร์วิน รีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหาพยายามควบคุมการหายใจให้เป็นปกติ ไม่อยากให้คนตรงหน้ารู้ว่าเขารีบวิ่งกระหืดกระหอบตามขึ้นมา
 
“คืนนี้ขอผมนอนที่ห้องหัวหน้านะครับ”
 
รีบพูดอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันได้เตรียมการคิดประโยคเกริ่นนำที่สวยหรู ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะขมวดคิ้วทำหน้าสงสัย เมื่ออยู่ดีๆ เด็กที่โตพอจะนอนคนเดียวได้แล้ว และก็นอนคนเดียวในห้องใต้ดินมาไม่รู้กี่คืน กลับมาขอนอนด้วยแบบไม่มีสาเหตุ ถ้าจะโดนปฏิเสธก็คงไม่แปลก
 
 
“ตามใจแก”
 
 
คำตอบตกลงที่ทำเอาหัวใจพองโตอย่างไม่รู้สาเหตุ ทั้งสาเหตุที่อยู่ดีๆ เขาก็เปลี่ยนใจวิ่งตามหัวหน้ารีไวมาเพื่อขอนอนที่ห้องหัวหน้า ทั้งที่คืนก่อนหน้านี้เขาก็กลับไปนอนที่ห้องของตัวเองแล้ว แต่พอคิดว่าหัวหน้ารีไวกำลังจะมาหาหัวหน้าหน่วยเออร์วิน ทั้งที่มาคุยธุระ แต่ก็ทำให้เขาผลุนผลันทำอะไรไปแบบที่เหมือนไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดกลั่นกรองจากสมอง เหมือนทำไปตามความรู้สึก ทั้งที่ยังคงไม่รู้ว่าความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ คืออะไร…
 
 
 
 

– T B C –

 
 

x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x

 
 
เอเลน หนูเป็นอะไรไปลูกกกกก XDDDDD
ตัดอารมณ์เครียดปวดตับด้วยความมุ้งมิ้งตอนท้ายนิดหน่อย เอเลนหนูวู่วามมาก O.o!!
เฮย์โจวเขาไปคุยกับดันโจวเรื่องหนูนั่นแหละๆๆๆ
 
 
ตอนที่แล้วต้องขอโทษทุกคนจริงๆ ค่ะ เราลืมเขียนให้เอเลนกับเฮย์โจวถอดอุปกรณ์เคลื่อนที่สามมิติออกก่อนที่จะลากกันไปที่เหว __//\\__ ขอโทษจริงๆ ค่ะ
 
 
ตอนหน้าจะเป็นตอนที่ 6.5
ตอนสั้นๆ ที่เป็นเรื่องมุ้งมิ้งทั้งตอนระหว่างที่เอเลนขอมานอนที่ห้องเฮย์โจวค่ะ
พักเบรคคลายเครียดกับการฝึกที่เริ่มซีเรียสขึ้นแล้วค่ะ ;____;

One comment

  1. ดีใจที่ทั้งคู่ไม่เป็นอะไรไปค่ะฮืออออ เฮย์โจวต้องเชื่อมั่นมากๆเลยนะคะถึงยอมให้ตัวเองเสี่ยงแบบนั้น เอเรนสติหลุดไปอีกแล้วขอให้เอเรนสามารถควบคุมเรื่องนี้ได้ไวๆนะคะ เอเรนอาการนี้คล้ายๆกับอาการหวงเจ้าของเลยนะคะะ เป็นกำลังใจให้ในการแต่งนะคะ!!!

    Like

Thank you for your comment ♥