[HQ-Commu] 7.7 (Mini Event : Tanabata)


10417201_738164479581853_1293675002_n
 
 
 
 
ลมกลางคืนของฤดูร้อนพัดเป็นเสียงกระดิ่งลม ให้สายตาที่เกือบจะเหม่อลอยอยู่กับประกายไฟสีส้มสว่างลุกไหม้แตกออกเป็นแฉกในความมืดกลับสู่ปัจจุบันในคืนของต้นฤดูร้อน เดือนที่อากาศตอนกลางคืนยังอบอ้าว แม้แต่ลมเอื่อยๆ ที่พัดมาโดนให้ไฟเย็นเกิดควัน หรือกลายเป็นเสียงกระดิ่งลมเบาๆ ตอนที่เหมือนกับได้ยินเสียงของใบไผ่เสียดสีกัน เป็นความเงียบที่เกิดขึ้นอย่างขัดแย้ง ในคืนของงานเทศกาลเดือนเจ็ด
 
 
เสียงปะทุค่อยๆ ของประกายไฟ เป็นแสงสว่างแตกกระจายออกขณะลุกไหม้อยู่ตรงปลายก้านของไฟเย็นที่ถือจับไว้ในมือ ไม่รู้ว่าเวลาที่ผ่านไปขณะนั่งยองอยู่นี้ยาวนานยิ่งกว่าการลุกไม้ของเปลวไฟ ตอนที่สายตาจับจ้องอยู่เพียงจุดเดียว แต่ความคิดที่ว่างเปล่ากลับล่องลอย ออกไป
 
 
กระดิ่งลมดังอีกครั้งเมื่อลมเฉื่อยพัดมาให้ผิวแก้วกระทบกันเป็นเสียงคุ้นเคยของฤดูร้อน แผ่วเบาเพียงครู่เดียวก่อนเสียงใสที่เหมือนจะกังวาลหายไปพร้อมกับลมที่เหมือนกับหยุดนิ่ง ตอนที่แสงสว่างจากไฟเย็นดับลงให้ระเบียงนอกบ้านมืดสนิท อีกครั้ง
 
 
ระเบียงไม้ด้านนอกก็ถูกทิ้งตัวนอนลงไปแบบที่น้อยครั้งนักที่แขนจะปล่อยวางไว้ข้างตัวโดยไม่ได้จับเครื่องเกม หรือประตูบานเลื่อนตรงระเบียงบ้านจะถูกเปิดออกค้างไว้พร้อมกับยาจุดไล่ยุงในคืนที่ทั้งบ้านไม่มีใครเหมือนเดิม เสียงทิ้งตัวนอนลงบนพื้นเสื่อทาทามิยังดังกุกกัด ชัดเจน
 
 
ท้องฟ้าสีดำมองเห็นชัดเจนจากระเบียงในท่านอน ความมืดของสีดำที่มีเพียงสีเทาอ่อนของก้อนเมฆ หรือแสงสว่างเล็กๆ จากดวงดาวที่หลบอยู่ด้านหลัง ทั้งหลับตา หรือลืมตาก็คล้ายกับจะเห็นเป็นภาพเดียวกัน และความเงียบที่แม้แต่เสียงสูดลมหายใจในบางครั้ง ยังได้ยิน
 
 
 

“ว่าแต่ชินยะคุงจะเขียนขออะไรวันทานาบาตะเหรอ?”

 
 
 
โต๊ะไม้ด้านในห้องด้านหลังมีแผ่นกระดาษสีฟ้าตัดวางไว้ ถูกเจาะรูร้อยเชือกเหมือนเตรียมจะแขวนขอพร คำอธิษฐานถูกเขียนไว้บนกระดาษอีกด้านที่คว่ำหน้าอยู่ นานจนเกือบจะลืมครั้งสุดท้ายของลายมืออ่านยากในตอนเด็ก ข้อความที่ยังเป็นตัวอักษรง่ายๆ เขียนเป็นประโยคซ้ำเดิมทุกปีตั้งแต่ที่ความต้องการเกิดขึ้นเป็นคำขอร้องที่ได้แต่อ้อนวอน ความปรารถนาที่ไม่เป็นจริง ความเชื่อถูกทำลายด้วยความชินชา ตลอดเวลาที่ได้แต่ รอ
 
 
 

“ถ้าขอแล้วได้ง่ายๆ ละก็คงไม่ต้องทำอะไรแล้ว
คำขอน่ะมันก็เป็นกุลสโลบายในการสร้างความหวังในชีวิตต่างหากละ”

 
 
 
ลมกลางคืนพัดโดนกระดิ่งลมให้ส่งเสียงเบาๆ จนเผลอเหลือบมอง สักพักกว่าที่ผิวแก้วจะหยุดกระทบกันแล้วความเงียบของระเบียงบ้านจะกลับมาอีกครั้ง เหมือนกับที่มองท้องฟ้าสีดำแล้วไม่คิดอะไร ปล่อยให้ความเงียบเกิดขึ้นต่อขณะที่สายตาจ้องในความมืด เหมือนกับความคิด ที่หยุดลง
 
 
ยันตัวให้ลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง ก่อนจะลุกเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะไม้ที่วางอยู่กลางห้อง กระดาษแผ่นสีฟ้าอยู่ต่ำกว่าที่จะแค่เอื้อมมือลงไป มองสีที่บอกถึงความสุขที่หวังอยู่อีกด้านของแผ่นกระดาษคว่ำไว้ ก่อนจะตัดสินใจหยิบ ขึ้นมา
 
 
คำขอที่เหมือนกับจะท่องได้ขึ้นใจ ตอกย้ำชัดเจนจนคล้ายกับภาวนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร้อมเสียงร้องไห้ที่เบาลงจนลืมแม้แต่ความรู้สึกของน้ำที่เคยผ่านแก้ม ข้อความก็ไม่เคยถูกเขียนลงบนแผ่นกระดาษอีกเลย
 
 
จนกระทั่งปลายเชือกถูกผูกเป็นปมอีกครั้งที่ก้านไผ่ กระดาษสีฟ้าถูกล้อมด้วยปลายแหลมสีเขียวของใบไม้ บนต้นไผ่ที่สูงขึ้นไปเลยรั้ว พอลดมือลงมาลมที่เคยพัดเพียงเบาๆ ก็แรงขึ้นจนก้านไผ่ปลิวเอนไปทางลม กระดาษสีฟ้าที่ตอนผูกจงใจหันด้านกระดาษเปล่าออกมาก็ปลิวพัดสะบัดจนด้านที่มีตัวอักษรเขียนอยู่ผลิกออกมา ข้อความเดิมที่เคยเขียนขอพรถูกเขียนด้วยลายมือ ตอนนี้
 
 
 

…ขอให้ได้เจอ อีกครั้ง…

 
 
 
 
 
 
 
ถ้านอกจากออกไปเรียนตอนเช้า หรือออกไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ ประตูบ้านก็ไม่เคยถูกกดให้ลงล็อคในเวลาที่ปกติแล้วน่าจะนอนอยู่บนเตียงในห้อง เหยียดสองแขนชูขึ้นตรงหน้าขณะทื่ถือเครื่องเกมแล้วจดจ่ออยู่กับเหตุการณ์สมมติในหน้าจอ กุญแจบ้านก็ถูกเก็บลงในกระเป๋ากางเกงแล้วหันหลังเดินออกไป
 
 
อากาศนิ่งๆ ของกลางคืนที่เหมือนกับจะได้ยินเสียงจิ้งหรีดระหว่างทางเดินที่เลี้ยวไปทางอีกแยกของหัวมุมถนน ความเงียบที่เสียงดังกับความครึกครื้นน่าจะไปรวมกันอยู่ในงานเทศกาลที่ลานโล่ง นอกจากไฟจากเสาไฟฟ้าแล้ว ก็ไม่มีแสงสว่างจากบ้านที่ปิดสนิทเลย น้อยครั้งนักจะเดินผ่านมา ไม่ใช่ทางเดินไปโรงเรียน ไม่ใช่ทางเดินไปร้านสะดวกซื้อ และไม่ใช่ทางเดินไปสถานีรถไฟ เสียงใบไม้เสียดสีกันเบาๆ ตอนที่ลมร้อนพัดมาให้เผลอหยุดยืนเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง เมฆสีเทาเริ่มหายไปจนมองเห็นดวงดาวได้ชัดเจน ดาวที่อยู่ห่างกันคนละฝั่งของดวงดาวเล็กๆ ที่คั่นกลางนั้น จะเป็นฮิโกโบชิกับโอริฮิเมะ หรือเปล่า
 
 
เริ่มได้ยินเสียงรองเท้า แล้วคนอื่นก็เดินผ่านข้างตัวนำหน้าไปตอนที่มัวแต่เงยขึ้นมองดาว ชุดยูกาตะทั้งสีพื้น และสีสดใสเป็นลวดลาย ทรงผมรวบมัดด้านข้างของเด็กผู้หญิง และถุงผ้าที่คล้องอยู่ตรงแขน บางคนถือพัดกับกระดาษทังซะขุไปด้วย บางทีที่งานเทศกาลคงมีให้แขวนกระดาษกับต้นไผ่
 
 
“เฮ้! ไอ้ตัวเล็ก”
 
ไม่รู้ว่าหมายถึงตัวเองหรือเปล่าจนกระทั่งเสียงนุ่มของรุ่นพี่อีกคนเรียกตามมา ถึงได้เห็นว่าเป็นรุ่นพี่ในชมรม กัปตันกับรองกัปตันเดินมาด้วยกัน จากทางงานเทศกาล
 
“ทสึยุซัง กำลังจะไปงานเทศกาลเหรอครับ”
 
 
พอเดินเข้ามาใกล้ ถึงเห็นว่ารุ่นพี่ทั้งสองคนสวมชุดยูกาตะด้วย แต่ถ้าจะคิดไปเองก็คงไม่ใช่ ทำไมชุดยูกาตะของรุ่นพี่อิชิอิถึงมีลวดลายคล้ายดอกไม้ ถึงจะเป็นสีดำแต่ก็เหมือนของผู้หญิง
 
 
“ครับ”
 
พยักหน้า แต่ก็ยังแอบมองเปรียบเทียบชุดยูกาตะของรุ่นพี่สองคน อีกคนเหมือนต้องลงมือทำงานถึงเก็บรัดปลายแขนเสื้อไม่ให้เกะกะ แต่อีกคนนอกจากชุดลายหวานแล้ว ทำไมผมข้างหนึ่งถึงเสยเปิดเอาไว้เหมือนจะติดดอกไม้
 
 
“นายจะไปชุดนี้เนี่ยนะ”
 
โดนชี้มือมาถึงได้ก้มดูชุดที่ใส่อยู่ ก็เป็นชุดอยู่บ้านปกติ เสื้อยืด กางเกงสี่ส่วน
 
 
“ใส่ไม่ได้ เหรอครับ”
 
พอเงยหน้าตอบไปก็โดนจับกลางหัว บังคับให้หันไปมองคนที่เดินผ่านไปด้านข้าง
 
 
“เห็นคนอื่นขาใส่ชุดอะไรกันหล่ะห๊ะ”
 
โดนบีบหัวแรงๆ ทีหนึ่งก่อนจะโดนขยี้ผมจนต้องยกมือขึ้นดันมือใหญ่ๆ ออก ไม่อยากพูดอะไรตอนที่พยายามลูบผมให้ฟูน้อยลง
 
 
“ทสึยุซังไม่ใส่ยูกาตะไปเที่ยวงานเหรอครับ”
 
รุ่นพี่อิชิอิถามบ้าง
 
 
“ไม่มี ยูกาตะครับ”
 
 
“แย่เลยนะครับ งานเทศกาล ต้องใส่ยูกาตะถึงจะเข้ากันนะครับ”
 
พอได้ยินคำว่ายูกาตะก็เผลอมองยูกาตะสีดำลายดอกไม้ที่รุ่นพี่ใส่อยู่อีกครั้ง
 
 
“รีบไปเอาของที่ห้องชมรมเถอะชิโนะ เรียวคุงรออยู่ไม่ใช่เรอะ”
 
คนใส่ยูกาตะลายผู้หญิงโดนดันหลังให้รีบเดิน ทั้งที่ยังทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่
 
 
“นี่ไอ้ตัวเล็ก ไหนๆ ก็ไปงานเทศกาลแล้ว ไปช่วยที่ซุ้มของชมรมด้วยหล่ะ”
 
รุ่นพี่โทกะหันกลับมาบอกด้วยคำสั่งกัปตัน ระหว่างพยายามดันหลังอีกคนที่ยืนนำหน้า แต่เหมือนว่ารุ่นพี่อิชิอิจะพยายามขืนตัวเองไม่ยอมเดิน
 
 
“เดี๋ยวครับ ผมนึกออกแล้ว ที่ห้องชมรมมีชุดยูกาตะของผมตอนมัธยมต้นอยู่ครับ”
 
 
คนตัวสูงที่สุดขมวดคิ้วมอง ตอนที่โดนจับแขนสองที่เมื่อครู่ดันหลังอยู่ข้างวางลงข้างตัว
 
 
“ทสึยุซังน่าจะใส่ได้ครับ”
 
กลายเป็นว่าโดนเซ็ตเตอร์ปีสองเดินอ้อมมายืนข้างๆ ส่งยิ้มมาให้แบบที่เหมือนมีอะไรอยู่เบื้องหลัง
 
“ไปที่ห้องชมรมด้วยกันนะครับ”
 
แล้วก็โดนพาหันหลังกลับเดินไปทางเดิมที่ผ่านมา โดยมีเสียงบ่นเบาๆ แบบสงสัยของคนที่เดินตามหลังมาด้วย
 
 
“ชิโนะ ตอน ม.ต้น นายตัวเท่าชินยะเรอะ”
 
 
 
 
 
 
 
เดินมาถึงห้องชมรมรุ่นพี่ที่ใส่ชุดยูกาตะแบบทะมัดทะแมงก็รีบเดินไปรื้อของที่ข้างตู้ล็อคเกอร์ ส่วนรุ่นพี่อีกคนที่ใส่ชุดยูกาตะลายสวยก็กำลังเอื้อมหยิบกล่องลังพาสติกบนหลังตู้ ก่อนจะยกลงมาวางบนพื้น พอเปิดฝาออกด้านในเป็นเสื้อผ้าที่เหมือนกับรุ่นพี่อิชิอิย้ายบ้านมาอยู่ที่ห้องชมรมจริงๆ
 
 
“เจอแล้วครับ”
 
ชุดยูกาตะสีพื้นถูกหยิบขึ้นมาจากกล่อง เป็นสีน้ำเงินเรียบๆ แบบที่รุ่นพี่เจ้าของชุดน่าจะใส่ตอนนี้มากกว่ายูกาตะลายดอกไม้
 
“ลองใส่ดูครับ”
 
รับชุดยูกาตะพร้อมสายรัดเอวสีเดียวกันมาถือไว้ งงนิดหนึ่งก่อนจะก้มหัวขอบคุณ
 
“เดี๋ยวผมไปช่วยเต้าหู้คุงหาของก่อน เปลี่ยนชุดตามสบายเลยครับ”
 
 
ถ้าจำไม่ผิด ชุดยูกาตะต้องเอาเสื้อด้ายซ้ายทับขวา ไม่ได้ใส่ชุดที่สบายในหน้าร้อนตั้งแต่งานเทศกาลดอกไม้ไฟเมื่อสิบปีที่แล้ว ที่น่าตกใจคือยูกาตะของรุ่นพี่อิชิอิใส่พอดี แต่ปัญหาเหมือนจะอยู่ที่สายรัดเอว นอกจากตอนเด็กที่มีคนผูกให้แล้ว ก็ไม่เคยต้องผูกเองอีกเลย
 
ยืนถือผ้ารัดเอวอยู่นานหลังจากใส่ยูกาตะเรียบร้อยแล้ว มองผ้าผูกเอวสีเดียวกันในมืออย่างพยายามคิดว่าต้องคาดแล้วรัดเป็นปมยังไง ก็ตัดสินใจคาดทับไปตรงเอวไขว้ผ้าผูกเป็นปมแบบพอให้มัดอยู่ไม่หลุด แล้วก็รีบเลื่อนสาย หมุนปมผ้าไปด้านหลังทันทีตอนที่รุ่นพี่ทั้งสองคนหันมา
 
 
“ใส่พอดีเลยนี่ครับ”
 
เจ้าของชุดเดินมาดู ยกมือขึ้นกุมคางอย่างพอใจ
 
 
“นี่นายตัวเท่าเด็ก ม. ต้นเลยเรอะ”
 
จิวตรงหางคิ้วเลื่อนไปตามคิ้วที่ขมวดเข้าหากันตรงหน้าผาก รุ่นพี่โทกะยืนกอดอกมองอยู่ข้างกล่องลังที่เพิ่งรื้อออกมาวาง
 
 
“ทสึยุซัง”
 
คราวนี้เป็นคิ้วของรุ่นพี่อิชิอิบ้างที่ขมวดอยู่เหนือกรอบแว่น
 
“เสื้อด้านหน้าหย่อนไปหรือเปล่าครับ ให้ผมดูได้มั้ยครับ”
 
 
ยังไม่ได้บอกว่าได้หรือไม่ได้ รองกัปตันก็เดินมาจับชายเสื้อหย่อนๆ ใกล้กับผ้ารัดเอว ขยับสายเคลื่อนไปมาแล้วก็เดินอ้อมไปด้านหลัง ให้ต้องหันมองตาม
 
“ผูกโอบิไม่แน่นนะครับ”
 
คนอยู่ด้านหลังดันแว่นทีหนึ่งแล้วส่งยิ้มให้
 
“จับเสื้อด้านหน้าไว้ทีครับ เดี๋ยวผมผูกให้ใหม่”
 
 
รองกัปตันบอกอย่างนั้นเลยต้องหันหน้ากลับมาตั้งใจจับชุดยูกาตะด้านหน้าเอาไว้ไม่ให้หลุด แล้วผ้าผูกเอวก็ถูกคาดใหม่ผูกเป็นปมแบบถูกต้องที่แน่นกว่าเดิม พอคิดว่าปล่อยมือจากเสื้อด้านหน้าได้ ก็หันไปดูรุ่นพี่ที่ยังตั้งใจผูกปมด้านหลังเหมือนจะให้สมบูรณ์แบบที่สุด จนรุ่นพี่ที่ยืนมองอยู่ข้างหน้าพูดขึ้น ถึงหันกลับมา
 
 
“นี่นายผูกโอบิไม่เป็นเรอะ”
 
 
“ไม่เป็น ครับ”
 
ยังมีแรงยุกยิกอยู่ด้านหลัง เหมือนว่ารุ่นพี่อิชิอิจะยังไม่พอใจปมสายโอบิที่เพิ่งผูกเสร็จเมื่อกี้
 
 
“โตจนเรียน ม.ปลาย แล้วเนี่ยนะ”
 
คิ้วที่เจาะจิวยิ่งขมวดเป็นปมมารวมกันตรงหน้าผากมากกว่าเดิม ถ้าไม่มีผมหน้าสีแดงตรงหน้าผากคงจะเห็นชัดกว่านี้
 
 
“ไม่ค่อย ได้ใส่ครับ”
 
 
“เสร็จแล้วครับ”
 
เสียงของรองกัปตันหยุดบทสนทนาที่เหมือนจะค้างอยู่ คนภูมิใจปมโอบิเดินอ้อมมาด้านหน้าชื่นชมผลงานตัวเอง
 
“ใส่พอดีนะครับ ไม่ยาวไปใช่มั้ยครับ”
 
 
“ครับ ขอบคุณมากครับ”
 
พยักหน้า แล้วก็ลองขยับผ้าผูกเอวที่ดูจะแน่นกว่าเดิมมาก
 
 
“เดี๋ยวผมกับเต้าหู้คุงยังต้องหาของในห้องชมรมอีก ทสึยุซังไปที่งานเทศกาลก่อนได้มั้ยครับ”
 
 
“ครับ”
 
พยักหน้าอีกครั้ง แล้วก็ลุกเดินไปทางประตู
 
 
“ไปช่วยที่ซุ้มเลยหล่ะ ซุ้มขายทาโกะยากิ”
 
คราวนี้เป็นรุ่นพี่โทกะที่บอกให้รีบไปที่ซุ้มของชมรมเลย พยักหน้าให้กับรุ่นพี่สองคนอีกครั้ง ก่อนจะเปิดประตูออกไปหากลางคืนของงานเทศกาลเดือนเจ็ด เทศกาลทานาบาตะ
 
 
 

 
 
 

x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x x

 
วันทานาบาตะค่ะ U////U
พี่อิชิอิกับพี่โทกะเหมือนพี่ชายสองคนที่มีน้องเล็กทำอะไรไม่เป็นเลยยยย (แถมยังแอบดื้อ)
ขนาดโอบิยังต้องให้เขาผูกให้ (ถ้าคิดมากนี่ตอนพี่อิชิอิแกะสายโอบิผูกให้ใหม่คือเขินมาก)
 
ขอบคุณคุณแม่ของโทกะคุง กับอิชิอิคุงมากๆ สำหรับชินยะในชุดทานาบาตะนะคะ
เลยมาโมเมเป็นว่านี่เป็นชุดตอน ม.ต้น ของพี่อิชิอิเลย
 
 
ขอบคุณจิซึรุจังด้วยค่ะ
คำพูดของจิซึรุจังทำให้ชินยะตัดสินใจเขียนคำขอลงในกระดาษเลยค่ะ ^ ^

One comment

  1. น้ำตาจะไหล ต้นเรื่องแลมาม่าหน่วงใจเหลือเกิน บรรยากาศดูเอื่อยๆ สมคาร์ชินยะ คนอ่านอย่างเราก็รู้สึกเหมือนได้อารมณ์ในตอนนั้นของชินยะมาจริงๆ

    แต่พอตอนหลังที่ด้นมาจนถึงตอนเจอสองรุ่นพี่ มันเหมือนโลกพลิกด้านเลยค่ะ ชินยะคลุงน่าจะเจอโลกสดใสแบบนี้ตั้งนานแล้ว โฮรวววววว สงสารน้อง แบบนี้ต้องเอาชินยะมาให้น้าๆสองเจี๊ยบเลี้ยงนะคะ รับรอง สดใสร่าเริงแน่นอน หึหึหึหึหึหึหึหึ
    ชินยะน่ารักจังค่ะ ไม่ไหวแล้ว อยากกอดน้อง T v T

    Like

Thank you for your comment ♥