ลมกลางคืนของฤดูร้อนพัดเป็นเสียงกระดิ่งลม ให้สายตาที่เกือบจะเหม่อลอยอยู่กับประกายไฟสีส้มสว่างลุกไหม้แตกออกเป็นแฉกในความมืดกลับสู่ปัจจุบันในคืนของต้นฤดูร้อน เดือนที่อากาศตอนกลางคืนยังอบอ้าว แม้แต่ลมเอื่อยๆ ที่พัดมาโดนให้ไฟเย็นเกิดควัน หรือกลายเป็นเสียงกระดิ่งลมเบาๆ ตอนที่เหมือนกับได้ยินเสียงของใบไผ่เสียดสีกัน เป็นความเงียบที่เกิดขึ้นอย่างขัดแย้ง ในคืนของงานเทศกาลเดือนเจ็ด
เสียงปะทุค่อยๆ ของประกายไฟ เป็นแสงสว่างแตกกระจายออกขณะลุกไหม้อยู่ตรงปลายก้านของไฟเย็นที่ถือจับไว้ในมือ ไม่รู้ว่าเวลาที่ผ่านไปขณะนั่งยองอยู่นี้ยาวนานยิ่งกว่าการลุกไม้ของเปลวไฟ ตอนที่สายตาจับจ้องอยู่เพียงจุดเดียว แต่ความคิดที่ว่างเปล่ากลับล่องลอย ออกไป
กระดิ่งลมดังอีกครั้งเมื่อลมเฉื่อยพัดมาให้ผิวแก้วกระทบกันเป็นเสียงคุ้นเคยของฤดูร้อน แผ่วเบาเพียงครู่เดียวก่อนเสียงใสที่เหมือนจะกังวาลหายไปพร้อมกับลมที่เหมือนกับหยุดนิ่ง ตอนที่แสงสว่างจากไฟเย็นดับลงให้ระเบียงนอกบ้านมืดสนิท อีกครั้ง
ระเบียงไม้ด้านนอกก็ถูกทิ้งตัวนอนลงไปแบบที่น้อยครั้งนักที่แขนจะปล่อยวางไว้ข้างตัวโดยไม่ได้จับเครื่องเกม หรือประตูบานเลื่อนตรงระเบียงบ้านจะถูกเปิดออกค้างไว้พร้อมกับยาจุดไล่ยุงในคืนที่ทั้งบ้านไม่มีใครเหมือนเดิม เสียงทิ้งตัวนอนลงบนพื้นเสื่อทาทามิยังดังกุกกัด ชัดเจน
ท้องฟ้าสีดำมองเห็นชัดเจนจากระเบียงในท่านอน ความมืดของสีดำที่มีเพียงสีเทาอ่อนของก้อนเมฆ หรือแสงสว่างเล็กๆ จากดวงดาวที่หลบอยู่ด้านหลัง ทั้งหลับตา หรือลืมตาก็คล้ายกับจะเห็นเป็นภาพเดียวกัน และความเงียบที่แม้แต่เสียงสูดลมหายใจในบางครั้ง ยังได้ยิน
โต๊ะไม้ด้านในห้องด้านหลังมีแผ่นกระดาษสีฟ้าตัดวางไว้ ถูกเจาะรูร้อยเชือกเหมือนเตรียมจะแขวนขอพร คำอธิษฐานถูกเขียนไว้บนกระดาษอีกด้านที่คว่ำหน้าอยู่ นานจนเกือบจะลืมครั้งสุดท้ายของลายมืออ่านยากในตอนเด็ก ข้อความที่ยังเป็นตัวอักษรง่ายๆ เขียนเป็นประโยคซ้ำเดิมทุกปีตั้งแต่ที่ความต้องการเกิดขึ้นเป็นคำขอร้องที่ได้แต่อ้อนวอน ความปรารถนาที่ไม่เป็นจริง ความเชื่อถูกทำลายด้วยความชินชา ตลอดเวลาที่ได้แต่ รอ
คำขอน่ะมันก็เป็นกุลสโลบายในการสร้างความหวังในชีวิตต่างหากละ”
ลมกลางคืนพัดโดนกระดิ่งลมให้ส่งเสียงเบาๆ จนเผลอเหลือบมอง สักพักกว่าที่ผิวแก้วจะหยุดกระทบกันแล้วความเงียบของระเบียงบ้านจะกลับมาอีกครั้ง เหมือนกับที่มองท้องฟ้าสีดำแล้วไม่คิดอะไร ปล่อยให้ความเงียบเกิดขึ้นต่อขณะที่สายตาจ้องในความมืด เหมือนกับความคิด ที่หยุดลง
ยันตัวให้ลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง ก่อนจะลุกเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะไม้ที่วางอยู่กลางห้อง กระดาษแผ่นสีฟ้าอยู่ต่ำกว่าที่จะแค่เอื้อมมือลงไป มองสีที่บอกถึงความสุขที่หวังอยู่อีกด้านของแผ่นกระดาษคว่ำไว้ ก่อนจะตัดสินใจหยิบ ขึ้นมา
คำขอที่เหมือนกับจะท่องได้ขึ้นใจ ตอกย้ำชัดเจนจนคล้ายกับภาวนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร้อมเสียงร้องไห้ที่เบาลงจนลืมแม้แต่ความรู้สึกของน้ำที่เคยผ่านแก้ม ข้อความก็ไม่เคยถูกเขียนลงบนแผ่นกระดาษอีกเลย
จนกระทั่งปลายเชือกถูกผูกเป็นปมอีกครั้งที่ก้านไผ่ กระดาษสีฟ้าถูกล้อมด้วยปลายแหลมสีเขียวของใบไม้ บนต้นไผ่ที่สูงขึ้นไปเลยรั้ว พอลดมือลงมาลมที่เคยพัดเพียงเบาๆ ก็แรงขึ้นจนก้านไผ่ปลิวเอนไปทางลม กระดาษสีฟ้าที่ตอนผูกจงใจหันด้านกระดาษเปล่าออกมาก็ปลิวพัดสะบัดจนด้านที่มีตัวอักษรเขียนอยู่ผลิกออกมา ข้อความเดิมที่เคยเขียนขอพรถูกเขียนด้วยลายมือ ตอนนี้
ถ้านอกจากออกไปเรียนตอนเช้า หรือออกไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ ประตูบ้านก็ไม่เคยถูกกดให้ลงล็อคในเวลาที่ปกติแล้วน่าจะนอนอยู่บนเตียงในห้อง เหยียดสองแขนชูขึ้นตรงหน้าขณะทื่ถือเครื่องเกมแล้วจดจ่ออยู่กับเหตุการณ์สมมติในหน้าจอ กุญแจบ้านก็ถูกเก็บลงในกระเป๋ากางเกงแล้วหันหลังเดินออกไป
อากาศนิ่งๆ ของกลางคืนที่เหมือนกับจะได้ยินเสียงจิ้งหรีดระหว่างทางเดินที่เลี้ยวไปทางอีกแยกของหัวมุมถนน ความเงียบที่เสียงดังกับความครึกครื้นน่าจะไปรวมกันอยู่ในงานเทศกาลที่ลานโล่ง นอกจากไฟจากเสาไฟฟ้าแล้ว ก็ไม่มีแสงสว่างจากบ้านที่ปิดสนิทเลย น้อยครั้งนักจะเดินผ่านมา ไม่ใช่ทางเดินไปโรงเรียน ไม่ใช่ทางเดินไปร้านสะดวกซื้อ และไม่ใช่ทางเดินไปสถานีรถไฟ เสียงใบไม้เสียดสีกันเบาๆ ตอนที่ลมร้อนพัดมาให้เผลอหยุดยืนเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง เมฆสีเทาเริ่มหายไปจนมองเห็นดวงดาวได้ชัดเจน ดาวที่อยู่ห่างกันคนละฝั่งของดวงดาวเล็กๆ ที่คั่นกลางนั้น จะเป็นฮิโกโบชิกับโอริฮิเมะ หรือเปล่า
เริ่มได้ยินเสียงรองเท้า แล้วคนอื่นก็เดินผ่านข้างตัวนำหน้าไปตอนที่มัวแต่เงยขึ้นมองดาว ชุดยูกาตะทั้งสีพื้น และสีสดใสเป็นลวดลาย ทรงผมรวบมัดด้านข้างของเด็กผู้หญิง และถุงผ้าที่คล้องอยู่ตรงแขน บางคนถือพัดกับกระดาษทังซะขุไปด้วย บางทีที่งานเทศกาลคงมีให้แขวนกระดาษกับต้นไผ่
“เฮ้! ไอ้ตัวเล็ก”
ไม่รู้ว่าหมายถึงตัวเองหรือเปล่าจนกระทั่งเสียงนุ่มของรุ่นพี่อีกคนเรียกตามมา ถึงได้เห็นว่าเป็นรุ่นพี่ในชมรม กัปตันกับรองกัปตันเดินมาด้วยกัน จากทางงานเทศกาล
“ทสึยุซัง กำลังจะไปงานเทศกาลเหรอครับ”
พอเดินเข้ามาใกล้ ถึงเห็นว่ารุ่นพี่ทั้งสองคนสวมชุดยูกาตะด้วย แต่ถ้าจะคิดไปเองก็คงไม่ใช่ ทำไมชุดยูกาตะของรุ่นพี่อิชิอิถึงมีลวดลายคล้ายดอกไม้ ถึงจะเป็นสีดำแต่ก็เหมือนของผู้หญิง
“ครับ”
พยักหน้า แต่ก็ยังแอบมองเปรียบเทียบชุดยูกาตะของรุ่นพี่สองคน อีกคนเหมือนต้องลงมือทำงานถึงเก็บรัดปลายแขนเสื้อไม่ให้เกะกะ แต่อีกคนนอกจากชุดลายหวานแล้ว ทำไมผมข้างหนึ่งถึงเสยเปิดเอาไว้เหมือนจะติดดอกไม้
“นายจะไปชุดนี้เนี่ยนะ”
โดนชี้มือมาถึงได้ก้มดูชุดที่ใส่อยู่ ก็เป็นชุดอยู่บ้านปกติ เสื้อยืด กางเกงสี่ส่วน
“ใส่ไม่ได้ เหรอครับ”
พอเงยหน้าตอบไปก็โดนจับกลางหัว บังคับให้หันไปมองคนที่เดินผ่านไปด้านข้าง
“เห็นคนอื่นขาใส่ชุดอะไรกันหล่ะห๊ะ”
โดนบีบหัวแรงๆ ทีหนึ่งก่อนจะโดนขยี้ผมจนต้องยกมือขึ้นดันมือใหญ่ๆ ออก ไม่อยากพูดอะไรตอนที่พยายามลูบผมให้ฟูน้อยลง
“ทสึยุซังไม่ใส่ยูกาตะไปเที่ยวงานเหรอครับ”
รุ่นพี่อิชิอิถามบ้าง
“ไม่มี ยูกาตะครับ”
“แย่เลยนะครับ งานเทศกาล ต้องใส่ยูกาตะถึงจะเข้ากันนะครับ”
พอได้ยินคำว่ายูกาตะก็เผลอมองยูกาตะสีดำลายดอกไม้ที่รุ่นพี่ใส่อยู่อีกครั้ง
“รีบไปเอาของที่ห้องชมรมเถอะชิโนะ เรียวคุงรออยู่ไม่ใช่เรอะ”
คนใส่ยูกาตะลายผู้หญิงโดนดันหลังให้รีบเดิน ทั้งที่ยังทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่
“นี่ไอ้ตัวเล็ก ไหนๆ ก็ไปงานเทศกาลแล้ว ไปช่วยที่ซุ้มของชมรมด้วยหล่ะ”
รุ่นพี่โทกะหันกลับมาบอกด้วยคำสั่งกัปตัน ระหว่างพยายามดันหลังอีกคนที่ยืนนำหน้า แต่เหมือนว่ารุ่นพี่อิชิอิจะพยายามขืนตัวเองไม่ยอมเดิน
“เดี๋ยวครับ ผมนึกออกแล้ว ที่ห้องชมรมมีชุดยูกาตะของผมตอนมัธยมต้นอยู่ครับ”
คนตัวสูงที่สุดขมวดคิ้วมอง ตอนที่โดนจับแขนสองที่เมื่อครู่ดันหลังอยู่ข้างวางลงข้างตัว
“ทสึยุซังน่าจะใส่ได้ครับ”
กลายเป็นว่าโดนเซ็ตเตอร์ปีสองเดินอ้อมมายืนข้างๆ ส่งยิ้มมาให้แบบที่เหมือนมีอะไรอยู่เบื้องหลัง
“ไปที่ห้องชมรมด้วยกันนะครับ”
แล้วก็โดนพาหันหลังกลับเดินไปทางเดิมที่ผ่านมา โดยมีเสียงบ่นเบาๆ แบบสงสัยของคนที่เดินตามหลังมาด้วย
“ชิโนะ ตอน ม.ต้น นายตัวเท่าชินยะเรอะ”
เดินมาถึงห้องชมรมรุ่นพี่ที่ใส่ชุดยูกาตะแบบทะมัดทะแมงก็รีบเดินไปรื้อของที่ข้างตู้ล็อคเกอร์ ส่วนรุ่นพี่อีกคนที่ใส่ชุดยูกาตะลายสวยก็กำลังเอื้อมหยิบกล่องลังพาสติกบนหลังตู้ ก่อนจะยกลงมาวางบนพื้น พอเปิดฝาออกด้านในเป็นเสื้อผ้าที่เหมือนกับรุ่นพี่อิชิอิย้ายบ้านมาอยู่ที่ห้องชมรมจริงๆ
“เจอแล้วครับ”
ชุดยูกาตะสีพื้นถูกหยิบขึ้นมาจากกล่อง เป็นสีน้ำเงินเรียบๆ แบบที่รุ่นพี่เจ้าของชุดน่าจะใส่ตอนนี้มากกว่ายูกาตะลายดอกไม้
“ลองใส่ดูครับ”
รับชุดยูกาตะพร้อมสายรัดเอวสีเดียวกันมาถือไว้ งงนิดหนึ่งก่อนจะก้มหัวขอบคุณ
“เดี๋ยวผมไปช่วยเต้าหู้คุงหาของก่อน เปลี่ยนชุดตามสบายเลยครับ”
ถ้าจำไม่ผิด ชุดยูกาตะต้องเอาเสื้อด้ายซ้ายทับขวา ไม่ได้ใส่ชุดที่สบายในหน้าร้อนตั้งแต่งานเทศกาลดอกไม้ไฟเมื่อสิบปีที่แล้ว ที่น่าตกใจคือยูกาตะของรุ่นพี่อิชิอิใส่พอดี แต่ปัญหาเหมือนจะอยู่ที่สายรัดเอว นอกจากตอนเด็กที่มีคนผูกให้แล้ว ก็ไม่เคยต้องผูกเองอีกเลย
ยืนถือผ้ารัดเอวอยู่นานหลังจากใส่ยูกาตะเรียบร้อยแล้ว มองผ้าผูกเอวสีเดียวกันในมืออย่างพยายามคิดว่าต้องคาดแล้วรัดเป็นปมยังไง ก็ตัดสินใจคาดทับไปตรงเอวไขว้ผ้าผูกเป็นปมแบบพอให้มัดอยู่ไม่หลุด แล้วก็รีบเลื่อนสาย หมุนปมผ้าไปด้านหลังทันทีตอนที่รุ่นพี่ทั้งสองคนหันมา
“ใส่พอดีเลยนี่ครับ”
เจ้าของชุดเดินมาดู ยกมือขึ้นกุมคางอย่างพอใจ
“นี่นายตัวเท่าเด็ก ม. ต้นเลยเรอะ”
จิวตรงหางคิ้วเลื่อนไปตามคิ้วที่ขมวดเข้าหากันตรงหน้าผาก รุ่นพี่โทกะยืนกอดอกมองอยู่ข้างกล่องลังที่เพิ่งรื้อออกมาวาง
“ทสึยุซัง”
คราวนี้เป็นคิ้วของรุ่นพี่อิชิอิบ้างที่ขมวดอยู่เหนือกรอบแว่น
“เสื้อด้านหน้าหย่อนไปหรือเปล่าครับ ให้ผมดูได้มั้ยครับ”
ยังไม่ได้บอกว่าได้หรือไม่ได้ รองกัปตันก็เดินมาจับชายเสื้อหย่อนๆ ใกล้กับผ้ารัดเอว ขยับสายเคลื่อนไปมาแล้วก็เดินอ้อมไปด้านหลัง ให้ต้องหันมองตาม
“ผูกโอบิไม่แน่นนะครับ”
คนอยู่ด้านหลังดันแว่นทีหนึ่งแล้วส่งยิ้มให้
“จับเสื้อด้านหน้าไว้ทีครับ เดี๋ยวผมผูกให้ใหม่”
รองกัปตันบอกอย่างนั้นเลยต้องหันหน้ากลับมาตั้งใจจับชุดยูกาตะด้านหน้าเอาไว้ไม่ให้หลุด แล้วผ้าผูกเอวก็ถูกคาดใหม่ผูกเป็นปมแบบถูกต้องที่แน่นกว่าเดิม พอคิดว่าปล่อยมือจากเสื้อด้านหน้าได้ ก็หันไปดูรุ่นพี่ที่ยังตั้งใจผูกปมด้านหลังเหมือนจะให้สมบูรณ์แบบที่สุด จนรุ่นพี่ที่ยืนมองอยู่ข้างหน้าพูดขึ้น ถึงหันกลับมา
“นี่นายผูกโอบิไม่เป็นเรอะ”
“ไม่เป็น ครับ”
ยังมีแรงยุกยิกอยู่ด้านหลัง เหมือนว่ารุ่นพี่อิชิอิจะยังไม่พอใจปมสายโอบิที่เพิ่งผูกเสร็จเมื่อกี้
“โตจนเรียน ม.ปลาย แล้วเนี่ยนะ”
คิ้วที่เจาะจิวยิ่งขมวดเป็นปมมารวมกันตรงหน้าผากมากกว่าเดิม ถ้าไม่มีผมหน้าสีแดงตรงหน้าผากคงจะเห็นชัดกว่านี้
“ไม่ค่อย ได้ใส่ครับ”
“เสร็จแล้วครับ”
เสียงของรองกัปตันหยุดบทสนทนาที่เหมือนจะค้างอยู่ คนภูมิใจปมโอบิเดินอ้อมมาด้านหน้าชื่นชมผลงานตัวเอง
“ใส่พอดีนะครับ ไม่ยาวไปใช่มั้ยครับ”
“ครับ ขอบคุณมากครับ”
พยักหน้า แล้วก็ลองขยับผ้าผูกเอวที่ดูจะแน่นกว่าเดิมมาก
“เดี๋ยวผมกับเต้าหู้คุงยังต้องหาของในห้องชมรมอีก ทสึยุซังไปที่งานเทศกาลก่อนได้มั้ยครับ”
“ครับ”
พยักหน้าอีกครั้ง แล้วก็ลุกเดินไปทางประตู
“ไปช่วยที่ซุ้มเลยหล่ะ ซุ้มขายทาโกะยากิ”
คราวนี้เป็นรุ่นพี่โทกะที่บอกให้รีบไปที่ซุ้มของชมรมเลย พยักหน้าให้กับรุ่นพี่สองคนอีกครั้ง ก่อนจะเปิดประตูออกไปหากลางคืนของงานเทศกาลเดือนเจ็ด เทศกาลทานาบาตะ
วันทานาบาตะค่ะ U////U
พี่อิชิอิกับพี่โทกะเหมือนพี่ชายสองคนที่มีน้องเล็กทำอะไรไม่เป็นเลยยยย (แถมยังแอบดื้อ)
ขนาดโอบิยังต้องให้เขาผูกให้ (ถ้าคิดมากนี่ตอนพี่อิชิอิแกะสายโอบิผูกให้ใหม่คือเขินมาก)
ขอบคุณคุณแม่ของโทกะคุง กับอิชิอิคุงมากๆ สำหรับชินยะในชุดทานาบาตะนะคะ
เลยมาโมเมเป็นว่านี่เป็นชุดตอน ม.ต้น ของพี่อิชิอิเลย
ขอบคุณจิซึรุจังด้วยค่ะ
คำพูดของจิซึรุจังทำให้ชินยะตัดสินใจเขียนคำขอลงในกระดาษเลยค่ะ ^ ^
น้ำตาจะไหล ต้นเรื่องแลมาม่าหน่วงใจเหลือเกิน บรรยากาศดูเอื่อยๆ สมคาร์ชินยะ คนอ่านอย่างเราก็รู้สึกเหมือนได้อารมณ์ในตอนนั้นของชินยะมาจริงๆ
แต่พอตอนหลังที่ด้นมาจนถึงตอนเจอสองรุ่นพี่ มันเหมือนโลกพลิกด้านเลยค่ะ ชินยะคลุงน่าจะเจอโลกสดใสแบบนี้ตั้งนานแล้ว โฮรวววววว สงสารน้อง แบบนี้ต้องเอาชินยะมาให้น้าๆสองเจี๊ยบเลี้ยงนะคะ รับรอง สดใสร่าเริงแน่นอน หึหึหึหึหึหึหึหึ
ชินยะน่ารักจังค่ะ ไม่ไหวแล้ว อยากกอดน้อง T v T
LikeLike